[/caption]
henry darcy
v α i ( สมการที่ 1)
หรือ v = ki
เมื่อ
v = ความเร็วของการไหลซึม (LT-1 )
i = ไฮดรอลิคเกรเดียน = Δ.h/Δ.y
k =ความซึมน้ำของตัวกลาง ซึ่งเป็นค่าคงที่ (LT-1)
Δh = ความต่างของระดับน้ำ (Head Difference) ในช่วงความยาวของการซึม ΔL
จากสมการที่ 1 จะนำไปใช้ในงานวิเคราะห์ปัญหาทางการไหลซึมของน้ำผ่านชั้นดิน ได้เกือบทุกแบบ สิ่งสำคัญ คือ ค่าคงที่ที่เป็นคุณสมบัติเฉพาะของชั้นดินที่เรียกว่า ค่าความซึมน้ำ (Permeability) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอิทธิพลของสิ่งต่อไปนี้
1. ขนาดและรูปร่างของเม็ดดิน (Grain Size and Shape) แท้ที่จริงแล้วค่าความซึมน้ำควรจะขึ้นอยู่กับขนาดและรูปร่างของช่องว่างระหว่างเม็ดดินมากกว่า แต่คุณสมบัติทั้งสองของมวลดินมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น ดินที่มีเม็ดเล็กบางและเป็นแผ่น ช่องว่างที่น้ำซึมผ่านก็มักจะมีลักษณะเช่นเดียวกัน Allen Hazen ได้เสนอว่าในทรายและกรวด ค่าความซึมน้ำสามารถสัมพันธ์กับขนาดเม็ดดังนี้
K = 100 D2 10 ซม./ วินาที ( สมการที่ 2)
เมื่อ D10 = ขนาดเม็ดเมื่อมี 10 เปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนักเป็นเม็ดที่เล็กกว่าที่ระบุ (ซ.ม.)
2. ความหนืดของของเหลวที่ซึมผ่าน (Viscousity of Pore Fluid) ในทางวิศวกรรมโยธามักเกี่ยวข้องกับน้ำเท่านั้น แต่ความหนืดของน้ำก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากอุณหภูมิ และมักจะยึดถือเอาความหนืดที่อุณหภูมิ 20 °c เป็นเกณฑ์ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ความหนืดจะลดลง ทำให้น้ำซึมผ่านได้ง่าย ดังนั้น ค่าความซึมน้ำ ณ อุณหภูมิต่าง ๆ อาจมีความสัมพันธ์กับที่ 20 °c ดังนี้
kT = k20 × (η 20 ÷ η T ) ( สมการที่ 3)
เมื่อ η 20 , η T เป็นความหนืดของน้ำที่อุณหภูมิ 20 °c และ T °c ตามลำดับ
3. อัตราส่วนของช่องว่าง (Void Ratio) คือ อัตราส่วนของช่องว่างระหว่างดินต่อปริมาตรเม็ดดิน เช่นในทรายหลวม น้ำย่อมไหลสะดวกกว่าทรายอัดแน่น มีผู้พยายามค้นคว้าหาความสัมพันธ์ของค่าความซึมน้ำกับอัตราส่วนช่องว่าง เช่น
k = c × [e3 /(1+e)] ( สมการที่ 4)
4. ความอิ่มตัวของมวลดิน (Degree of Saturation) เมื่อมวลดินไม่อิ่มตัว ย่อมจะมีฟองอากาศคอยกั้นช่องว่าง ทำให้น้ำไหลซึมไม่สะดวก ดังนั้นในการทดลองในห้องปฏิบัติการจึงมักใช้ตัวอย่างดินที่อิ่มตัว เพื่อหลีกเลี่ยงอิทธิพลนี้
ในการทดลองหาค่าความซึมน้ำอาจทำได้หลายวิธี เช่น แบบความดันน้ำคงที่ (Constant head) หรือความดันน้ำเปลี่ยนไป (Variable head) หรือแม้แต่ทดสอบในสนาม ดังนั้นการเลือกใช้วิธีทดลองจึงมีส่วนสำคัญ ซึ่งพอจะแนะนำได้ดังนี้
ตารางที่ 1 วิธีทดสอบหาค่าความซึมน้ำที่เหมาะสม
รูปที่ 1 การทดสอบความซึมน้ำโดยวิธีความดันคงที่
รูปที่ 1 แสดงการทดลองหาค่าความซึมน้ำโดยวิธีความดันคงที่ จากสมการที่ 1 ถ้าพื้นที่หน้าตัดของตัวอย่างดินเท่ากับ A ดังนั้นปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวอย่างดินจะเท่ากับ
เมื่อ : Q = vA = kiA (สมการที่ 5)
K = ค่าความซึมน้ำของตัวอย่างดิน ซึ่งต้องการทราบ
i = ไฮโดรลิค เกรเดียน = h/L
เมื่อแทนค่า i แล้วหาค่า k ในเทอมตัวแปรต่าง ๆ จะได้
k = QL/Ah ( สมการที่ 6)
เมื่อ Q = ปริมาณน้ำที่วัดระหว่างการทดสอบ, ซม.3 /วินาที
L = ความยาวของตัวอย่างดิน, ซม.
A = พื้นที่หน้าตัดตัวอย่างดิน, ซม.2
h = ความต่างของระดับน้ำ (ดังรูปที่ 1), ซม.
ในกรณีที่ใช้ความดันเข้าช่วย h = p/γ w ดังนั้นสมการ 6 จะเป็น
k = (Q × L × γ w )/AP (สมการที่ 7)
รูปที่ 2 แสดงการทดลองหาค่าความซึมน้ำโดยวิธีความดันเปลี่ยน โดยใช้ความดันจากความสูงของระดับน้ำในหลอดแก้ว (Burette) ซึ่งมีพื้นที่หน้าตัด a และระดับน้ำจะลดลงเรื่อยๆ ในระหว่าการทดลอง ถ้าเราพิจารณาที่ช่วงเวลาใดๆ dt โดยระดับน้ำในหลอดแก้วลงลง dt จากสมการ 1
รูปที่ 2 การทดสอบความซึมน้ำ โดยวิธีความดันเปลี่ยน
สมการที่ 8
สมการที่ 9
เมื่อ
a, A = พื้นที่หน้าตัดของหลอดแก้วและ ตัวอย่างดิน ตามลำดับ, ซม.2
L = ความยาวของตัวอย่างดิน, ซม.
T = เวลาที่ทำการทดลองปล่อยให้ระดับ น้ำตกจาก ระดับ h1 ถึงระดับ h2 , วินาที
h1 1, h2 = ระดับน้ำเมื่อเริ่มจับเวลา และระดับน้ำเมื่อเวลาผ่านไป 0 และ T วินาที ตามลำดับ, ซม.
ที่มา: www.gerd.eng.ku.ac.th